วีเออาร์มีทั้งข้อดีและข้อเสียในการแทงบอล
สมัยก่อนหากมีการส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายส่วนใหญ่แทบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะได้ประตูอย่างแน่นอน แต่ว่าในยุคนี้เราไม่สามารถเฮได้อย่างสุดเสียงเหมือนแต่ก่อนต่อไปอีกแล้ว เนื่องจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) นำเอาเทคโนโลยี VAR (Video Assistante Referee) หรือเรียกตามภาษาบ้าน ๆ นั่นก็คือตัวช่วยในการตัดสินนั่นเอง
แต่ว่า “วีเออาร์” ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างพร่ำเพื่อหยุดเกมบ่อยจนน่าเบื่อในแต่ละแมตช์แต่อย่างใด โดยกฏการใช้วีเออาร์นั้นให้ใช้ได้ในกรณีที่มีการตัดสินการทำประตูว่าควรได้หรือไม่ได้เพราะว่าอาจเป็นจังหวะล้ำหน้าหรือมีการฟาวล์รุนแรงผิดกติกาก่อนหน้านี้ รวมไปถึงเอาไว้เป็นตัวช่วยผู้ตัดสินในกรณีที่มีการทำฟาวล์อย่างน่าเกลียดอาจส่งผลให้ใบเหลืองเปลี่ยนเป็นใบแดงไปได้ในทันที
สำหรับข้อดีของวีเออาร์นั้นมันก็เข้ามาช่วยเพิ่มความแฟร์ในการแข่งขันนั่นเอง โดยหากดีเอโก้ มาราโดน่า นำตานลูกหนังทีมชาติอาร์เจนติน่าผู้ล่วงลับไปแล้ว มาเจอยุคนี้เข้าไปวีเออาร์คงเล่นงานจนไม่เกิดตำนาน “หัตถ์พระเจ้า” เกิดขึ้นกันจนคลาสสิกมาจวบจนทุกวันนี้ รวมไปถึงลูกตะบันของเซอร์ เจฟ เฮิร์สที่ซัลโวให้อังกฤษในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1966 ว่าแท้จริงนั้นมันข้ามเส้นไปแล้วหรือยังนั้นวีเออาร์ก็สามารถตอบโจทย์ได้
แต่อีกมุมหนึ่งของวีเออาร์ก็ทำให้บางจังหวะต้องเสียเวลาพิจารณากันนานจนส่งผลให้มีการทดเวลาบาดเจ็บมากขึ้นไปเป็นเงาตามตัว และเวลาทดเจ็บที่เพิ่มขึ้นนี่แหละเป็นตัวแสบเลยทีเดียว เนื่องจากเราคงเห็นกันบ่อยครั้งมักมีการพังประตูกันได้ในช่วงทดเจ็บเป็นธรรรมดา แถมบางคู่ทดเกินเวลาแล้วมาโดนซัดเอาหงายเงิบในแอ็คชั่นสุดท้ายของเกมพากันเซ็งเป็ดกันไปเป็นแถบ
ส่วนในข้อเสียทางด้านอารมณ์นั้นมันก็ไม่พ้นผลการตัดสินจากวีเออาร์ที่ให้มีการริบประตูคืนนั่นเอง ทำให้บางครั้งท่านต่อถึงต้องบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ขณะที่ท่านรองต่างหายใจได้โล่งขึ้นกว่าเดิมไปอีกมากมายเลย แต่แท้ที่สุดแล้ววีเออาร์น่าจะมีประโยชน์มากกว่าให้โทษต่อเกมการแข่งขัน ยกเว้นในแง่มุมของนักเดิมพันลูกหนังนั่นเอง
อย่างไรก็ดีเราไม่ควรที่จะไปหัวเสียกับวีเออาร์มากจนเกินไปนักเพราะว่าบางแมตช์ก็มีที่ไม่มีวีเออาร์เลย ทำให้เปรียบได้ดังคำสอนของพระศาสดาเอกของโลกอย่างพระพุธทเจ้าของศาสนาพุทธเราที่ตรัสเอาไว้ว่า “ให้อยู่กับปัจจุบัน และอย่าไปเสียอกเสียใจกับอดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้ว รวมไปถึงคาดหวังกับสิ่งที่ยังไม่ได้เกินขึ้นในอนาคต”